บุคคลสำคัญ




 หมอบรัดเลย์ บิดาแห่งการพิมพ์สยาม

นับตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม 2378 หน้าประวัติศาสตร์ไทยก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปหลายๆด้าน โดยบุคคลชาวต่างชาติและต่างศาสนาคนหนึ่งนาม หมอบรัดเลย์ ได้เดินทางมาเหยียบแผ่นดินสยามครั้งแรกและได้ใช้กว่าครึ่งชีวิตของท่านในการสร้างคุณูปการแก่สยามประเทศ ทั้งในด้านการพิมพ์ การแพทย์ ภาษา ศาสนา หนังสือพิมพ์และวิทยาศาสตร์



คนไทยกับคนอเมริกันได้พบเห็นหน้าอย่างเป็นทางการครั้งแรกเมื่อในรัชกาลที่ ๓ ในครั้งนั้นประธานาธิบดีแย็กสัน (Andrew Jackson) ได้แต่งตั้งให้เอมินราบัดหรือ เอดมันด์ รอเบิต (Edmond Roberts) เป็นทูตขี่เรือกำปั่นเข้ามาทำหนังสือสัญญาทางพระราชไมตรีและการค้าขายเมื่อ พ.ศ. ๒๓๗๕ (ภายหลังประเทศอังกฤษ) และต่อจากนั้น ๓ ปี หมอบรัดเลย์ก็นั่งเรือใบเข้ามา


หมอบรัดเลย์เป็นคนเมืองมาร์เซลลุส (Marcellus) ในมลรัฐนิวยอร์ก เป็นเมืองที่บิดามารดามาตั้งครอบครัวอยู่หลังจากอพยพมาจากนิวฮาเวน (New Haven) บิดาชื่อ แดน บรัดเลย์ มีอาชีพเป็นศาสนาจารย์, เกษตรกร, ผู้พิพากษา และบรรณาธิการวารสารทางเกษตรกรรม มารดาชื่อ ยูนิซ บีช บรัดเลย์ (Eunice Beach Bradley) เมื่อนางให้กำเนิดหมอบรัดเลย์เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๓๔๗ แล้ว นางก็สิ้นชีวิตในวันต่อมา หมอบรัดเลย์เป็นบุตรคนที่ ๕ ชื่อแรกมาจากชื่อของบิดาคือ แดน และชื่อกลางมาจากชื่อสกุลมารดาคือ บีช รวมเป็น แดน บีชบรัดเลย์


ต่อมาบิดาของท่านได้แต่งงานใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๘ ท่านจึงได้รับการเลี้ยงดูจากมารดาเลี้ยง และมีน้องที่เกิดจากแม่คนใหม่อีก ๕ คน แม้กระนั้นก็ได้ให้ความรักความเมตตาแก่ท่านเป็นอย่างดี ทำให้ไม่รู้สึกว้าเหว่แต่อย่างใด


ท่านเป็นคนชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เป็นเด็ก จึงอาจเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้ท่านสนใจในการพิมพ์หนังสือในสมัยต่อมา และอยากให้คนไทยอ่านหนังสือกันมาก ๆเผอิญสิ่งแวดล้อมในอเมริกาครั้งนั้นเป็นผลดีแก่เมืองไทย ที่จะได้คนดีอย่างหมอบรัดเลย์เข้ามา คือในสมัยนั้นทางฝ่ายเผยแผ่ศาสนาคริสต์มีความต้องการมิชชันนารีที่เป็นแพทย์จำนวนมาก หมอบรัดเลย์จึงได้ตัดสินใจเข้าศึกษาวิชาแพทย์แทนที่จะทำงานทางศาสนา และเนื่องจากขณะนั้นสุขภาพไม่ค่อยดี ในระยะแรกท่านจึงศึกษากับนายแพทย์โอลิเวอร์ (Dr. A.F. Oliver) ที่เมือง Penn Yan แบบตามสบายเพื่อรอให้สุขภาพดีขึ้น


เมื่ออยู่ในวัยรุ่น ท่านมีข้อบกพร่องอยู่อย่างหนึ่งคือพูดติดอ่าง ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างยิ่งในการเผยแผ่ศาสนาที่จะต้องพูดหรือบรรยายธรรม ฉะนั้นท่านจึงต้องรีบแก้ไขโดยการเข้ากลุ่มฝึกพูด ซึ่งก็เป็นผลดี

ในหนังสือ ๕๐ ปีโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน นายแพทย์คทาวุธ โลกาพัฒนา ได้กล่าวถึงการเรียนวิชาแพทย์ของหมอบรัดเลย์ไว้ตอนหนึ่งว่า


"การศึกษาวิชาแพทย์ในสมัยนั้นเป็นการศึกษาแบบปฏิบัติกับแพทย์ที่ปฏิบัติงานอยู่ จนกระทั่งมีประสบการณ์เพียงพอจึงจะสอบเพื่อรับปริญญา ท่านเคยไปฟังบรรยายทางการแพทย์ที่ Harvard ในปี ค.ศ. ๑๘๓๐ และกลับไปฝึกปฏิบัติงานการแพทย์สลับกับการเป็นครูในหมู่บ้าน เมื่อสะสมเงินได้เพียงพอ จึงไปที่โรงเรียนแพทย์ในกรุงนิวยอร์กเพื่อเรียนและสอบได้ปริญญาแพทย์ในเดือนเมษายนค.ศ. ๑๘๓๓


ระหว่างอยู่ในนิวยอร์กยังได้ปฏิบัติงานหาความชำนาญ และระหว่าง ๒ ปีนั้นอหิวาตกโรคกำลังระบาดอยู่ในนิวยอร์ก โดยระบาดมาจากเมืองควิเบก ขณะศึกษาอยู่ในนิวยอร์กได้สมัครเป็นแพทย์มิชชันนารีกับ ABCFM (American Board of Commissioners of Foreign Missions) เพื่อทำงานในอาเซีย


ที่นิวยอร์ก หมอบรัดเลย์ได้รู้จักกับบุคคลสองคนซึ่งมีผลต่อการดำเนินชีวิตในระยะต่อมา คนแรกคือ Charles Grandison Finney ซึ่งเป็นนักเทศน์และอาจารย์จาก Oberlin College มีความเชื่อว่า มนุษย์ควรจะดำรงชีวิตโดยไม่มีบาป คือดำรงชีวิตของตนเช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า ความเชื่อนี้มีผลต่อการปฏิบัติงานของหมอบรัดเลย์ในเมืองไทย คนที่สองคือ Reverend Charles Eddy แห่งคณะ ABCFM ซึ่งแนะนำว่าการทำงานมิชชันนารีในต่างแดนควรจะมีผู้ช่วย"


ในที่สุดหมอบรัดเลย์ได้เข้าศึกษาที่ College of Physicians ที่เมืองนิวยอร์ก และได้รับปริญญา Doctor of Medicine เมื่อเดือนเมษายน ค.ศ. ๑๘๓๓ (พ.ศ. ๒๓๗๖) พร้อมที่จะเป็นมิชชันนารีต่อไป


ในช่วงเวลาที่หมอบรัดเลย์เกิดจนถึงรุ่นหนุ่ม สังคมอเมริกันได้เกิดความเคลื่อนไหวที่สำคัญซึ่งมีอิทธิพลต่อแนวความคิดและวัฒนธรรมอเมริกัน คือการฟื้นสำนึกทางศาสนาครั้งใหญ่ เป้าหมายสำคัญคือการฟื้นฟูหลักธรรมของศาสนาคริสต์โปรเตสแตนต์ โดยมีการเคลื่อนไหวเพื่อต่อต้านอบายมุข การเคลื่อนไหวเพื่อการเลิกทาส และการรณรงค์เพื่อเดินทางออกไปเผยแพร่ศาสนายังประเทศต่างๆทั่วโลก การฟื้นสำนึกทางศาสนาที่มีอิทธิพลต่อหมอบรัดเลย์โดยตรง หมอบรัดเลย์ในวัยหนุ่มตั้งใจจะศึกษาทางด้านอักษรศาสตร์ แต่ต้องประสบปัญหาทางด้านการพูดออกเสียงและมีอายุมากเกิน จึงต้องเบนเข็มเข้าเรียนทางด้านการแพทย์แทน โดยเริ่มเข้าศึกษาชั้นต้นกับคลินิกแพทย์คนหนึ่งที่ออเบิ์รน แต่ต้องพักการเรียนระยะหนึ่งเนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพ ต่อมาเมื่อสุขภาพแข็งแรงแล้วก็คิดจะเรียนต่อทางด้านศาสนา เพื่อเป็นผู้สอนศาสนา แต่ก็ต้องประสบปัญหาทางด้านการเงินและอายุอีก จึงหันกลับมาเรียนต่อ ทางด้านการแพทย์อีกครั้ง โดยมุ่งหวังว่าจะทำให้สามารถทำงานเผยแพร่ศาสนาได้ ในที่สุด หมอบรัดเลย์ก็เรียนสำเร็จ ได้รับปริญญาทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก ในปี 2376


เมื่อได้ปริญญาทางการแพทย์แล้วหมอบรัดเลย์จึงสมัครเป็นมิชชันนารี กับคณะ เอ บี ซี เอฟ เอ็ม (American Board of Commissioner Foreign Mission) คือคณะมิชชันนารีเพื่อพันธกิจต่างชาติ หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า "คณะอเมริกันบอร์ด" คณะอเมริกันบอร์ดอนุมัติให้หมอบรัดเลย์เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาในเอเชียได้ จุดหมายปลายทางคือ ประเทศสยาม ซึ่งกำลังเป็นที่รู้จัก ตามธรรมเนียมของการเดินทางมายังประเทศห่างไกลเช่นนี้ มิชชั่นนารีจำเป็นต้องมีคู่แต่งงานเดินทางมาด้วย หมอบรัดเลย์จำเป็นต้องหาผู้หญิงที่พร้อมจะเป็นคู่ชีวิตและยอมเป็นคู่ชีวิตและยอมเดินทางไปทำงานไกลบ้านเกือบครึ่งโลกด้วยความเต็มใจ ไม่นานหมอบรัดเลย์ก็ได้พบผู้หญิงคนนั้น เธอคือ เอมิลี่ รอยซ์


1 กรกฎาคม 2377 หมอบรัดเลย์ออกเดินทางจากบอสตันมุ่งหน้าสู่สยาม โดยเรือ "แคชเมียร์" ใช้เวลารอนแรมในทะเลเป็นเวลา 6 เดือน หมอบรัดเลย์ก็มาถึงสิงคโปร์ในวันที่ 12 มกราคม 2378 และแวะพักอยู่ที่สิงค์โปร์อีก 6 เดือน ก่อนจะเดินทางเข้าสู่สยามในวันที่ 18 กรกฎาคม 2378 เป็นวันเกิดปีที่ 31 ปีพอดี


เมื่อมาถึงสยามหมอบรัดเลย์ได้อาศัยพักรวมอยู่กับครอบครัวของศาสนาจารย์สตีเฟน จอห์นสัน ที่ย่านวัดเกาะ โดยมีเป้าหมายเพื่อเผยแผ่ศาสนากับชุมชนชาวจีนก่อนเป็นลำดับแรก ที่บ้านพักย่านวัดเกาะนี้ หมอบรัดเลย์ได้เปิดโอสถสถาน ขึ้น เพื่อทำการรักษา จ่ายยา และหนังสือเกี่ยวกับศาสนาให้กับคนไข้


แต่ไม่นานกิจการนี้ก็ถูกเพ่งเล็ง ว่าอาจทำให้ชาวจีนกระด้างกระเดื่องต่อรัฐบาลสยามได้ จึงมีการกดดันเจ้าของที่ดินคือนายกลิ่นไม่ให้มิชชันนารีเช่าที่ต่อไปอีก หมอบรัดเลย์จึงต้องย้ายมาเช่าที่ของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ที่บริเวณหน้าวัดประยูรวงศาวาส เป็นที่ทำการแห่งใหม่

ที่อยู่แห่งใหม่นี้เองที่หมอบรัดเลย์ได้ทำการผ่าตัดครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์การแพทย์ของไทย คือการตัดแขนพระภิกษุรูปหนึ่งที่ได้รับอุบัติเหตุจากกระบอกบรรจุดินดำทำพลุแตกในงานฉลองที่วัดประยูรวงศาวาส หมอบรัดเลย์ต้องตัดแขนพระภิกษุรูปนี้เพื่อรักษาชีวิตไว้ ทางการแพทย์ถือว่าเป็นการผ่าตัดแผนปัจจุบันครั้งแรกของไทย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2380


ผลงานชิ้นสำคัญทางการแพทย์อีกเรื่องหนึ่งคือ การริเริ่มปลูกฝีป้องกันไข้ทรพิษ เป็นผลสำเร็จครั้งแรกในเมืองไทยทำให้พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานเงินจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือในการหาซื้อเชื้อหนองฝีโค ซึ่งต้องสั่งนำเข้าจากสหรัฐอเมริกามาใช้เพื่อปลูกฝีให้ชาวสยาม และยังทรงให้แพทย์หลวงมาศึกษาวิธีการปลูกฝีจากหมอบรัดเลย์เพื่อขยายการปลูกฝีให้กว้างขวางมากยิ่งขึ้นในประเทศไทย


หลังจากที่หมอบรัดเลย์ประสบความสำเร็จอย่างมากในทางการแพทย์ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในบางกอก แต่นั่นกลับไม่ช่วยให้กิจกรรมทางด้านศาสนาประสบความสำเร็จไปด้วย ตลอดชีวิตของหมอบรัดเลย์ในสยามซึ่งกินเวลาเกือบ 40 ปีนั้น ทำให้กลับใจเปลี่ยนศาสนาได้ไม่กี่คน หรือเรียกว่าล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าทุกสิ่งที่หมอบรัดเลย์ทำนั้นล้วนแต่เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางศ่าสนาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแพทย์หรือการพิมพ์ก็ตาม

ส่วนงานที่หมอบรัดเลย์ทำและพัฒนาขึ้นตลอดเวลาคือ การพิมพ์ สิ่งที่น่าสนใจในงานพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่ศาสนา เป็นสิ่งสนับสนุนทางการแพทย์ และยังเป็นรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัวอีกด้วย


การพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ในสยามเริ่มต้นขึ้นเมื่อหมอบรัดเลย์เดินทางจากสิงคโปร์มาสยามและได้ซื้อตัวพิมพ์อักษรไทยและแท่นพิมพ์ไม้ติดตัวมาด้วยตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ไม้ชุดแรกที่เข้าสู่สยามพร้อมกับหมอบรัดเลย์ถูกนำมาตั้งเป็นโรงพิมพ์ขึ้นที่ตรอกกัปตันบุช อันเป็นที่ตั้งของคณะ เอ บี ซี เอฟ เอ็ม และได้ดำเนินการพิมพ์ใบปลิว หนังสือต่างๆในระยะแรก ตัวพิมพ์และแท่นพิมพ์ไม้นี้หมอบรัดเลย์กล่าวถึงไว้ว่า เป็นสิ่งที่อัปลักษณ์มาก


จนกระทั่งในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2379 โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์จึงได้รับแท่นพิมพ์ใหม่ที่ทันสมัยที่สุดในขณะนั้น ยี่ห้อโอติส และสแตนดิ้ง ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญต่อประวัติศาสตร์การพิมพ์สยาม เพราะทำให้ประสิทธิภาพในการพิมพ์สูงขึ้น และสวยงามขึ้นอย่างมาก


หมอบรัดเลย์ได้ให้กำเนิดสิ่งพิมพ์ฉบับแรกที่พิมพ์ขึ้นในประเทศคือ หนังสือบัญญัติสิบประการ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2379 หลังจากนั้นกิจการโรงพิมพ์ภายใต้การดูแลของหมอบรัดเลย์ก็เริ่มต้นพิมพ์เกี่ยวกับศาสนาออกมาอีกมากมาย


ต่อมาในปี 2382 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้โรงพิมพ์หมอบรัดเลย์พิมพ์ประกาศห้ามสูบฝิ่นจำนวน 9,000 ฉบับ นับเป็นสิ่งตีพิมพ์เอกสารทางราชการฉบับแรกในประวัติศาสตร์สยาม และถือเป็นหมายสำคัญว่ายุคแห่งการคัดด้วยลายมือกำลังจะหมดไป เป็นการเริ่มต้นยุคสมัยแห่งการพิมพ์สยาม


ในที่สุดพัฒนาการของการพิมพ์ในสยามก็มาถึงจุดสำคัญที่สุดคือ หมอบรัดเลย์และคณะสามารถหล่อตัวพิมพ์ภาษาไทยขึ้นสำเร็จเป็นครั้งแรกในปี 2384 ตัวพิมพ์ชุดนี้หมอบรัดเลย์ยังได้ทำขึ้นอีกเพื่อทูลเกล้าฯถวายเจ้าฟ้ามงกุฎ สำหรับใช้ที่โรงพิมพ์วัดบวรนิเวศวิหาร


ต่อมาในวันที่ 4 กรกฎาคม 2387 หมอบรัดเลย์ก็ได้ออกหนังสือพิมพ์ฉบับแรกของสยามขึ้นในชื่อว่า หนังสือจดหมายเหตุ บางกอกรีคอเดอ กิจการโรงพิมพ์ของหมอบรัดเลย์ได้พิมพ์หนังสือออกมาจำนวนมาก โดยเฉพาะในระยะหลังเมื่อหมอบรัดเลย์ได้รับพระราชทานที่ดินให้เช่าบริเวณปากคลองบางกอกใหญ่ งานพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่จำกัดวงเฉพาะงานทางด้านศาสนาอีกต่อไปแต่ได้พิมพ์หนังสือหลากหลายประเภท ทั้งนิยาย ประวัติศาสตร์ กฎหมาย วรรณคดี เพื่อจำหน่ายแก่บุคคลที่สนใจทั่วไป


เกือบ 40 ปีที่อยู่ในสยาม หมอบรัดเลย์ได้ทุ่มเททำงานอย่างหนักตลอดเวลา มีโอกาสเดินทางกลับบ้านเกิดเพียงครั้งเดียว เป็นช่วงเวลาที่ เอมิลี บรัดเลย์ เสียชีวิตลงในสยาม การเดินทางกลับบ้านครั้งนี้กินเวลา 3 ปี คือระหว่างปี 2390-2393 เมื่อกลับมาสยามอีกครั้ง หมอบรัดเลย์ก็มาพร้อมกับภรรยาคนใหม่ คือซาราห์ แบลชลี หลังจากนั้นก็ลงหลักปักฐานอยู่ในสยามจนเสียชีวิตที่นี่ทั้งสองคน หมอบรัดเลย์มีบุตรกับเอมิลี 5 คน และกับซาราห์ 5 คนหมอบรัดเลย์มีชีวิตอยู่ในสยามผ่านเวลามาถึง 3 แผ่นดิน คือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 รัชการลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 โดยที่ไม่มีโอกาสร่ำรวยและสุขสบายเลย หมอบรัดเลย์เสียชีวิตลงในปี 2416 ขณะมีอายุได้ 69 ปี อนุสรณ์สถานของครอบครัวบรัดเลย์อยู่ที่สุสานโปรเตสแตนท์ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนเจริญกรุง



แต่สิ่งที่เป็นอนุสรณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของหมอบรัดเลย์ต่อชาวไทยก็คือการพิมพ์และการแพทย์ แม้ว่าหมอบรัดเลย์จะไม่ได้รับการยกย่องให้เป็น"บิดา"ทั้งทางด้านการพิมพ์และการแพทย์แผนใหม่ของไทย แต่สิ่งที่หมอบรัดเลย์ได้ริเริ่มบุกเบิกไว้เป็นคนแรกนั้นก็ไม่อาจลบเลือนไปได้เช่นกัน


พระยาศรีสุนทรโวหาร


ประวัติพระยาศรีสุนทรโวหาร


เมื่อท่านมีอายุได้ 6 ปี ท่านได้เล่าเรียนหนังสือไทยกับหลวงบรรเทาทุกขราษฎร์(ไทย) กรมการเมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพี่ชายใหญ่ของท่าน เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี พี่ชายใหญ่ของท่าน ได้พากันเข้ามาพักอยู่กับท่านสามเณรทัด ซึ่งเป็นน้าชายของท่านซึ่งบวชอยู่ที่วัดสระเกศ ท่านสามเณรทัดองค์นี้ได้ชักนำให้ท่านเล่าเรียนวิชาหนังสือไทยกับท่านกรรมวาจาจัน เรียนหนังสือขอมกับท่านพระครูวิหารกิจานุการ แล้วได้เรียนสารสงเคราะ ในสำนักสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน) เรียนมงคลทีปนีในสำนักพระอุปทยาจาริยศุข เรียนมัลกัจาจายนในสำนักสมเด็จพระพุทธาจาริย (สน) เรียนกังขาวิตะระณีในสำนักพระอาจารย์เกิด วัดแหลม เรียนมหาวงศ์ในสำนักพระครูด้วง และได้เล่าเรียนพระคัมภีร์อื่นๆ ในสำนักพระครูปาน พระใบฎีกาแก้ว พระอาจารย์คง พระอาจารย์ด้วง ฝ่ายอาจาริยคฤหัสถ์นั้นท่านได้ร่ำเรียนวิภัตติกะถาคัณฐาภรณ์สัตถสาร วะชิระสาร ในสำนักท่านอาจารย์แสง เรียนวุตโตไทยในสำนักหม่อมเจ้าอ้น บ้านถนนโรงครก เสาะหาอาจารย์ศึกษาวิชาหนังสือขอมหนังสือไทย ในสำนักพระอาจารย์ต่างๆ ดังนี้มา ตั้งแต่อายุท่านได้ 14 ปี แล้วท่านจึงได้เข้าบวชเป็นสามเณรอีก 8 ปี รวมเวลาที่ท่านได้เล่าเรียนอยู่ถึง 11 ปี เมื่อท่านอายุได้ 21 ปี ครบอุปสมบทแล้ว ท่านจึงได้เข้าอุปสมบทเป็นภิกษุอยู่ในวัดสระเกศ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาท่านเป็นพระประสิทธิสุตคุณ ที่พระราชาคณะอยู่ในวัดสระเกศ พระราชทานตาลปัตรแฉกหักทองขวางเป็นเครื่องยศ ท่านได้ดำรงสมณะเพศ รวม 11 พรรษา จึงลาสิกขาบท เมื่อท่านลาสิกขาบทออกจากวัดสระเกศแล้ว ท่านเจ้าพระยามหินทรศักดิดำรง ได้นำท่านเข้าไปถวายตัวทำราชการฉลองพระเดชพระคุณ อยู่ในกรมมหาดเล็กเวรศักดิ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้สอยการหนังสือไทยและหนังสือขอม ท่านได้รับราชการในกรมมหาดเล็กมาได้ครบ 1 ปี จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ขุนประสิทธิอักษรสารท ผู้ช่วยกรมพระอาลักษณ์ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งยศเป็นที่ขุนสารประเสริฐปลัดทูลฉลองกรมพระอาลักษณ์ ต่อมาภายหลัง พระยาศรีสุนทรโวหาร(ฟัก) เจ้ากรมอาลักษณ์ถึงแก่กรรมลง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้&nท่านเป็นพระศรีสุนทรโวหาร เจ้ากรมพระอาลักษณ์ และต่อมาเมื่อการพระราชปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามสำเร็จบริบูรณ์แล้ว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้มีการสมโภชวัด เสร็จแล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานบำเหน็จรางวัลในความชอบต่างๆ แก่พระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการที่ทำหน้าที่ในบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อเป็นที่ระลึก พระศรีสนุทรโวหารซึ่งมีหน้าที่เป็นแม่กองตรวจโคลงแต่งโคลง มีความชอบในราชการ จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งยศขึ้นเป็น พระยาศรีสุนทรโวหาร ญาณปรีชามาตย์ บรมนารถนิตยภักดี พิริยพาหะ ท่านถึงแก่อสัญกรรมเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2434 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศโถมีเครื่องพร้อมให้เป็นเกียรติยศ



ผลงานและเหตุการณ์สำคัญ

พระเจ้าเชียงใหม่ได้นำช้างเผือกมาถวาย เป็นช้างสำคัญ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ขนานนามว่า พระเศวตวรวรรณ และให้แต่งฉันท์สำหรับพราหมณ์กล่อมเมื่อเวลาสมโภช ท่านจึงได้รีบเร่งแต่งขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายให้ทันพระราชประสงค์ โดยสำเร็จบริบูรณ์เป็นความชอบในครั้งนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานรางวัลเป็นเงินตราชั่ง 5 ตำลึง แล้วภายหลังมีช้างสำคัญเข้ามาสู่พระบรมโพธิสมภารอีกหลายช้าง คือพระมหาระพีพรรณคชพงศ์ พระเศวตสุวภาพรรณ รวมทั้งช้างเผือกสำคัญอื่นๆ อีกหลายช้าง ท่านก็ได้รับการฉลองพระเดชพระคุณ ในการขนานนามช้างทุกช้างและแต่งฉันท์กล่อมเสมอทุกครั้ง ได้รับพระราชทานรางวัลตามสมควร


ท่านมีผลงานที่เด่นมากในวงการศึกษา ท่านเป็นผู้แต่งตำราเรียนชุดแรกของไทย ซึ่งในสมัยนั้น เรียกว่า "แบบเรียนหลวง" ใช้สอนในโรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ (โรงเรียนหลวงแห่งแรก) และหนังสือกวีนิพนธ์ที่มีคุณค่าอีกหลายเรื่อง งานชิ้นสำคัญชิ้นหนึ่ง คือท่านได้รับแต่งตั้งให้เป็น แม่กลองตรวจโคลงบรรยายประกอบรูปภาพเรื่อง "รามเกียรติ์" รอบระเบียงพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อครั้งกรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ 100 ปี และตัวท่านเองก็ได้รับหน้าที่เป็นผู้แต่งด้วยท่านหนึ่ง


พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นครูสอนหนังสือไทยในกรมทหามหาดเล็ก คือสอนพวกนายทหารแลมหาดเล็กชั้นเล็กๆ ซึ่งพระยาสุรศักดิ์มนตรี(แสง) เป็นต้นคิดจัดการตั้งโรงเรียนขึ้นในออฟฟิศมหารมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวังเป็นครั้งแรก ต่อมาจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้ท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ สั่งสอนพระเจ้าน้องยาเธอ พระเจ้าน้องนางเธอ ที่ยังทรงพระเยาว์อยู่ หม่อมเจ้า หม่อมราชวงศ์ และบุตรหลานข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย โดยใช้แบบเรียนหนังสือไทยที่ท่านได้แต่งขึ้น ต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลิกจากการสอนหนังสือไทยที่โรงเรียนหลวง แล้วให้มาเป็นอาจารย์ถวายพระอักษร สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้า และพระเจ้าลูกเธอ